กาลครั้งนั้น ณ ป่าแก่งกระจาน เป็นผลกรรมหลังคำสั่ง "อุ้มพระ".?

หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพจำลองเพื่อใช้ประกอบนิทานเท่านั้น

นิทานสอนใจ

เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม.!


เสียงรถยูนิม็อกวิ่งตัดความเงียบ จากตัวเมืองใหญ่วิ่งเข้าสู่วัดชานเมืองเขตปริมณฑล คืนหนึ่งในปี 2540 ต้นๆ บนรถเต็มไปด้วยขุนพลติดดาวนับสิบนาย กับภารกิจสำคัญของพวกเขาในคืนนี้คือ "อุ้มพระ" มหาเถระรูปหนึ่ง ซึ่งท่านพึ่งรำพึงกับลูกศิษย์ว่า

ช่วงนี้หลวงพ่อต้องลดน้ำหนักซะหน่อย เขาจะได้อุ้มง่ายๆ หน่อย..


โอวาทติดตลกนี้สร้างความกังวลให้กับลูกศิษย์ไม่ใช่น้อยก็เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าความแม่นยำของญาณหยั่งรู้พระมหาเถรรูปนี้ไม่ธรรมดาบรรดาลูกศิษย์จึงประชุมกันว่าคืนนี้คงต้องอยู่เวรยามให้แน่นหนามากขึ้น

 หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพจำลองเพื่อใช้ประกอบนิทานเท่านั้น

กลางดึกสงัดคืนนั้นเรถยูนิม็อกคันหนึ่งวิ่งมาถึงท้ายวัดไม่ห่างจากกุฏิมากนัก หัวหน้าทีมบนรถส่งสัญญาณมืออันเป็นที่รู้กันว่า..เฝ้ารถ 2 นาย บุกขึ้นกุฏิ 4 นาย ส่วนที่เหลือแยกย้ายดูต้นทางตามที่ได้ฝึกซ้อมมา ด้วยฝีมือระดับติดปีกจตุรอาชาทั้งสี่จึงจู่โจมเข้าไปถึงกุฏิอย่างง่ายดาย เพราะวันนี้พระมหาเถระกำชับเหล่าลูกศิษย์ไว้ตั้งแต่หัวค่ำว่าไม่ต้องมานอนเฝ้าหน้าห้องเช่นทุกวัน

ประตูห้องถูกเลื่อนเปิดอย่างช้าๆ แสงไฟในห้องส่องเพี่ยงสลัวๆ ภาพเบื้องหน้าจตุรอาชาทั้งสี่ก็คือ ภาพพระมหาเถระนั่งสมาธิอยู่บนตั่งนอนอย่างสงบ เมื่อพบบุคคลเป้าหมาย หัวหน้าทีมดิ่งไปประชิดตัว จากนั้นจึงลงมือ "อุ้มพระ" หวังจะยกให้สบายๆ ด้วยกำลังวังชาของชายฉกรรจ์เพียงคนเดียว แต่อนิจจาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ..

แม้แค่ขยับยังไม่ขยับเลย หนึ่งแรง สองแรง สามแรง สี่แรงช่วยกันยกก็ไม่ขึ้น ผลักก็ไม่เอนโอนเหงื่อเริ่มซึม หัวหน้าทีมเห็นว่าไม่ได้การแล้วจึงส่ง "สัญญาณนรก"

 

แผนขั้นสุดท้ายมาถึง..


ปืน US ARMY ทั้งสี่กระบอกถูกชักขึ้นมาเล็งไปที่พระมหาเถระทั้งสี่มุม ปลายกระบอกปืนดั่งดวงตามัจจุราชจ้องมองในระยะประชิด ณ วินาทีนี้ไม่มีอะไรจะมายับยั้งอานุภาพการทำลายล้างของมันที่สามารถล้มช้างได้

หารู้ไม่ว่า.. ในวินาทีนั้นก็เป็นเวลาแห่งนรกอเวจีของผู้ลั่นไกเช่นกัน จากประสบการณ์ของนักล่ามือฉมังมโนภาพของพวกเขาคือ คมกระสุนที่พุ่งทะลุร่างเพื่อปลิดชีพพระผู้บริสุทธ์

แต่ภาพแห่งความจริงเบื้องหน้าของเหล่าจตุรอาชา กลับเป็นความนิ่งสงบในอิริยาบถนั่งสมาธิ และความรู้สึก ณ จังงัง ของจตุรอาชา มีเพียงเสียง "แชะๆ" ของปืนทุกกระบอกที่แม้จะเหนี่ยวไกซ้ำๆ แต่ปืนเจ้ากรรมก็ไม่ "ปัง" อย่างที่คาดคิด

จตุรอาชาทั้งสี่มองตากันด้วยเต้นหัวใจระทึก นึกถึงตอนยกพระเป็นๆ รูปเดียวด้วยพลกำลังชายฉกรรจ์ก็ยกพระไม่ขึ้น มาถึงนาทีมรณในตอนนี้ ปืนชั้นดีในมือชั้นเซียนก็ยังไม่ลั่นอีก

หัวใจหล่นไหลไปรวมอยู่ที่ตาตุ่ม จตุรอาชามือเข่าอ่อนยวบก้มลงกราบพระมหาเถระรูปนั้น แล้วผินหลังย้อนกลับไปที่ประตูทางเข้ารีบถอนกำลังเฉพาะกิจกลับทันที รถคันเดิมที่จอดหลังวัดสตาร์ทเครื่องวิ่งฝ่าความมืดออกไป ทิ้งไว้เพียงกลุ่มควันลอยคว้างกลางอากาศ

 หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพเหตุการณ์จำลองเพื่อใช้ประกอบนิทานเท่านั้น

สิบปีผ่านไป

กลางป่าแก่งประจาน..


ทีมเดิมถูกเรียกใช้ในภารกิจบางอย่าง รวมถึงการตามหาเฮลิคอปเตอร์ลำแรกที่หายไป หัวหน้าทีม และลูกน้องอีกเจ็ดนายได้เริ่มภารกิจแต่ระหว่างทางต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้าย

ประกอบกับวิบากกรรมอันใดมาร่วมส่งผลให้เครื่องได้ร่วงลงกระแทกภูเขา ทั้งหมดเสียชีวิตเช่นเดียวกับชุดแรก เมื่อสัญญาณการติดต่อขาดหายไปในเวลาต่อมาเฮลิคอปเตอร์อีกลำออกตามค้นหาแต่ก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกันอย่างน่าสลด สภาพร่างไร้วิญญาณของแต่ละคนคงไม่ต้องบรรยาย...!

หรือนี่คือวิบากกรรมที่เคยทำตามคำสั่งหลังภารกิจ "อุ้มพระ" ที่ผ่านเลยมากว่า 10 ปี.? ขึ้นชื่อว่าผลของ กรรมแม้จะมาไม่เร็ว แต่มันไม่เคยหายไป มันจะยังคงวนเวียติดตามตัวผู้กระทำเหมือนเงาในตอนกลางวัน เหมือนฝันในตอนกลางคืน ลอยหลอนใจทุกเวลาแม้ว่าจะอยู่ในมิติที่ไม่มีใคร..มองเห็น

หมายเหตุ ภาพนี้เป็นภาพเหตุการณ์จำลองเพื่อใช้ประกอบนิทานเท่านั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..

ในบางครั้งกฎหมายอาจดูเหมือน

ไม่ยุติธรรมแต่กฎแห่งกรรมนั้น

ยุติธรรมเสมอ เพียงรอเวลาส่งผล.!


Cr. เขาเล่าเราเขียน

ขอบคุณภาพประกอบจาก
ไทยรัฐออนไลน์
ช่อง 9  อ.ส.ม.ท
Facebook social

เพราะความลับไม่มีในอากาศ
>Talk--secret.blogspot.com
กาลครั้งนั้น ณ ป่าแก่งกระจาน เป็นผลกรรมหลังคำสั่ง "อุ้มพระ".? กาลครั้งนั้น ณ ป่าแก่งกระจาน เป็นผลกรรมหลังคำสั่ง "อุ้มพระ".? Reviewed by สารธรรม on 03:09 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.